หลายๆคนอาจจะเคยได้ยินมาว่า ผู้ชายมักจะชอบเรียนวิทยาศาสตร์มากกว่าผู้หญิง ซึ่งในวงการการศึกษาก็พบว่าเป็นอย่างนั้นอยู่เหมือนกัน แต่เร็วๆนี้เพิ่งมีงานวิจัยอันใหม่ออกมา ค้นพบว่า จริงๆแล้วความอยากเรียนวิทยาศาสตร์ไม่ได้ขึ้นกับเพศ แต่ขึ้นอยู่กับลักษณะของสมองต่างหาก
งานวิจัยชิ้นนี้เป็นของ Institute of Upper Secondary and Vocational Education, University of Zurich ทำในนักเรียนมัธยมปลาย พบว่าไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างเพศและความอยากเรียนวิทยาศาสตร์ แต่พบว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างชนิดของสมองและความอยากเรียนวิทยาศาสตร์ โดยที่ชนิดของสมองที่เขามองมีสองแบบคือ แบบที่จัดระบบได้ดี (systemizing brain) กับแบบที่รับรู้แบ่งปันความรู้สึกได้ดี (empathizing brain) ซึ่งเขาพบว่าโดยส่วนมาก ผู้ชายจะมีสมองแบบ systemizing มากกว่า ในขณะที่ผู้หญิงมักจะมีสมองแบบ empathizing มากกว่า ซึ่งก็ทำให้เป็นสิ่งที่อธิบายได้ว่าทำไมเรามักจะเห็นผู้ชายอยากเรียนวิทยาศาสตร์มากกว่าผู้หญิงค่ะ
ม่อนว่าน่าสนใจมาก เพราะเมื่อก่อนในวงการการศึกษา เราก็มักจะเห็นว่าผู้ชายชอบเรียนวิทยาศาสตร์มากกว่าผู้หญิง โดยเฉพาะทางฟิสิกส์หรือเคมี ซึ่งในเรื่องนี้ทางตะวันตกก็มีการศึกษามาก เพราะผู้หญิงมักจะไม่ได้ค่อยเข้าไปสู่วงการวิทยาศาสตร์สักเท่าไหร่ โดยส่วนมาก นักการศึกษาก็จะเน้นไปทางอิทธิพลทางสังคมที่มีต่อผู้หญิงและอาชีพทางวิทยาศาสตร์ เด็กผู้ชายมักจะถูกเลี้ยงด้วยความที่อยากให้เห็นหมอ หรือวิศวะ แต่ถ้าผู้หญิงล่ะ อาจจะไม่ค่อยมีใครส่งเสริมให้ไปทางวิทยาศาสตร์เท่าไหร่ (อันนี้ต่างกับคนไทยนะคะ ถ้าเป็นคนไทย ผู้หญิงก็มีการส่งเสริมให้เรียนหมอ เรียนวิทยาศาสตร์เหมือนกัน แต่ถ้าตะวันตกจะไม่ค่อยมีค่ะ) ทำให้นักการศึกษามุ่งเน้นไปแก้ไขที่ปัจจัยทางด้านสังคมเพื่อช่วยให้ผู้หญิงได้เข้าสู่วงการวิทยาศาสตร์มากขึ้น
แต่งานวิจัยชิ้นนี้ช่วยทำให้เราได้เห็นว่าคำตอบส่วนหนึ่งอาจจะมาจากลักษณะสมองที่แตกต่างกันระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย แต่ก็อีกล่ะ เราจะรู้ได้อย่างไรว่า สมองผู้หญิงเป็นแบบนี้เพราะเกิดมาเป็นแบบนี้ หรือเพราะได้รับการเลี้ยงดูมาแบบนี้ ก็คงต้องศึกษากันต่อไป แต่อย่างน้อยงานวิจัยนี้ก็ได้เปิดมุมมองให้เราเห็นว่า ความอยากเรียนวิทยาศาสตร์อาจจะได้รับอิทธิพลจากปัจจัยด้านร่างกายได้เหมือนกันค่ะ
Reference
Zeyer, A., Wolf, S. Is there a relationship between brain type, sex and motivation to learn science?
(2010) International Journal of Science Education, 32 (16), pp. 2217-2233.