เมื่อก่อนเป็นคนชอบเดินเร็วๆ ตั้งแต่เด็กๆแล้วนะ เดินเร็วๆ จะได้ไปถึงห้องเรียนเร็วๆ จะได้กลับบ้านเร็วๆ ซึ่งเราก็รู้สึกว่าดีออกที่เป็นคนเดินเร็ว ไม่เสียเวลา แถมได้ออกกำลังกายด้วย แต่ก็ด้วยการเดินเร็วเนี่ยแหละที่มันยิ่งทำให้ธรรมชาติของเราที่เป็นคนใจร้อน ยิ่งไปกันใหญ่ ปกติแล้วเป็นคนที่เกลียดการไปสายที่สุด รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความรับผิดชอบมากๆเลยถ้าไปสาย แต่บางทีเราก็ไม่ได้เผื่อเวลาไว้พอใช่ไหม มันเลยต้องรีบ รีบเดินขึ้นรถ รีบไปต่อรถ ก็ติดเป็นนิสัยนะ ยิ่งเดินเร็วก็ยิ่งรีบ ยิ่งรีบก็เดินเร็ว แต่ก็คงเคยเป็นกันใช่ไหมที่เหมือนที่เขาพูดกันว่า ยิ่งรีบยิ่งช้า มันจะมักจะจริงอ่ะ ยิ่งรีบก็ยิ่งลืมนู่นลืมนี่ ต้องกลับมาเอา ทำให้ช้ากันไปใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้น นิสัยอย่างนี้มันก็แก้ยากนะ
เราเป็นคนหนึ่งนะที่เชื่อว่า อะไรที่เกิดขึ้นมาก็แล้วแต่ มันก็ต้องมีเหตุผลของมัน เรียกง่ายๆว่า There must be a reason for it. จากชีวิตตัวเองจะเห็นได้ชัดเลยว่า เมื่อไหร่ที่ชีวิตเรารีบๆยุ่งๆจนไม่ได้มีเวลาให้ตัวเอง ข้อเท้าจะพลิกทุกที ปกติเป็นคนข้อเท้าไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้ว เพราะเคยพลิกตั้งแต่เด็กๆ เวลาโตขึ้นมา ขาก็จะแพลงบ่อยอยู่แล้ว ปีละครั้งสองครั้งอะไรอย่างเนี่ย จากการสังเกตนะ รู้สึกว่าเหมือนตัวเองพยายามจะบังคับให้ทำให้ชีวิตตัวเองช้าลง โดยการเดินเร็วไม่ได้
แต่ถึงจะรู้อย่างนี้ก็เถอะ พอขาหายดีเหมือนเดิม ก็กลับไปเป็นเหมือนเก่า คราวนี้สงสัยชีวิตอย่างให้เราอยู่อย่างช้าๆจริงๆ แล้้วอยู่กับมันให้ได้ ก็เลยข้อเท้าหักซะเลย คราวนี้แหละมันไม่ใช่แค่เดินช้าแล้ว มันเดินไม่ได้ตั้งหลายเดือน กว่าจะเดือนได้ก็ตั้งนาน แถมเดินได้ก็ยังเดินได้ไม่เร็วเหมือนเดิม
คนใจร้อนอย่างเราเนี่ยมันหงุดหงิดน่าดูเลยนะเวลาที่ต้องทำอะไรช้าๆ เดินก็ช้าๆ ไปไหนก็ไม่ค่อยได้นอกจากจะไปช้าๆ เซ็งมากอ่ะ พอขาหายพอที่จะเดินได้ แต่เดินเร็วๆหรือวิ่งไม่ได้ ก็ไปโรงเรียน เวลาเดินไปแล้ว เห็นรถเมล์มาแล้วเดินไปไม่ทันเนี่ยมันก็เซ็งนะ แต่เราก็ทำเหมือนเดิมไม่ได้ จะวิ่งไปให้ทันก็ไม่ได้ วันไหนสายแล้วก็ต้องให้มันสายไป ถ้ามันสายไปสิบนาทีแล้ว เราจะวิ่งให้มันสายน้อยที่สุดก็ไม่ได้ ก็ต้องปล่อยให้มันสายไป จะสายกี่นาทีก็แล้วแต่ ก็ถือว่าเราไม่เผื่อเวลาให้ทันเอง
แต่สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการใช้ชีวิตเป็นช้าๆอย่างเนี่ย ก็ทำให้รู้ว่า จริงๆแล้วเกือบทุกเรื่องในชีวิตเนี่ย รีบไปก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นหรอกนะ คนเรามักจะหลอกตัวเองกันไปเองว่ารีบแล้วมันประหยัดเวลา แต่ตอนที่ต้องทำอะไรช้าๆอย่างตอนนี้ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเวลาในชีวิตมันจะหายไปสักนิดเลย เวลาไปเข้าเรียน ถ้ามันตกรถเมล์แล้วมันสายไปแล้วห้านาที เราจะวิ่งให้ไปถึงห้องเรียนภายในอีกห้านาที กลายเป็นสายแค่สิบนาทีก็ได้ แต่วิ่งไปแล้วเหนื่อย หอบ ไปถึงห้องเรียนกว่าจะทำสมาธิให้เรียนได้ก็เกือบหมดคาบแล้ว ตอนนี้สายไปห้านาทีแล้ว ต้องเดินอีกสิบนาที มันวิ่งไม่ได้ก็ต้องเดิน ก็ต้องสายสิบห้านาที มันก็ช่วยไม่ได้น่ะ แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว ก็ไม่เห็นมันจะแตกต่างกันสักเท่าไหร่เลยนะ สายสิบนาทีกับสิบห้านาทีเนี่ย แถมพอค่อยๆเดิน เราก็มีสมาธิกับการเรียนดีกว่าซะอีก
แต่ไม่ใช่จะส่งเสริมให้เราไปสายกันจนชินนะคะ ครูม่อนรู้สึกว่า เวลาที่เราต้องไปไหนมาไหนช้าๆด้วยสติเนี่ย มันกลับทำให้เราวางแผนเวลาได้ดีขึ้น เพราะพอรู้ว่าตัวเองวิ่งไม่ได้ แล้วเราไม่อยากสาย เราก็ต้องตื่นเช้า เผื่อเวลารอรถเมล์ เผื่อเวลาเดิน ทำให้กลับไปเร็วขึ้นกว่าเดิมอีก ในทางกลับกัน สมัยก่อนที่เราวิ่งไปไหนมาไหนได้ เราก็คิดว่า เออ ตื่นสายหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก ถ้าไม่มันเดี๋ยวก็วิ่งเอา มันเลยทำให้ติดเป็นนิสัยน่ะสิว่า ไม่ต้องเผื่อเวลาไว้ก็ได้
ก็ต้องขอบคุณอุบัติเหตุที่ทำให้ข้อเท้าหักเหมือนกันนะว่า ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า การใช้ชีวิตอย่างมีสติ ไม่ได้ทำให้เรามีเวลาน้อยลง แต่กลับทำให้เราได้ความสงบในใจเพิ่มขึ้นมาอีกต่างหากล่ะ