fbpx

ความเชื่อผิดๆ 4 อย่างเกี่ยวกับการสมัครเข้าเรียนต่อปริญญาโทปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยดังๆ

Share This Post

Share on email
Share on facebook
Share on twitter

ความเชื่อผิดๆ 4 อย่างเกี่ยวกับการสมัครเข้าเรียนต่อปริญญาโทปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยดังๆและ Ivy league

1. เกรดต้องดี ถึงจะเข้าได้ – การจะเข้ามหาวิทยาลัยดังๆได้ ไม่ใช่ว่าเกรดดีอย่างเดียวถึงจะพอ จริงอยู่ ถ้าเกรดเราดีเลิศ มันก็ทำให้โอกาสที่เราจะเข้าได้เพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเกรดดีอย่างเดียว แล้วจะเข้าได้นะ มันก็ต้องมีผลงานอย่างอื่นด้วย ในทางกลับกัน นักเรียนที่มีเกรดกลางๆหรือดีกว่าเฉลี่ยนิดหน่อย ก็ใช่ว่าจะหมดโอกาส จริงๆแล้วถ้านักเรียนมีผลงาน มีประสบการณ์ หรือแม้แต่มีวิสัยทัศน์ที่น่าสนใจและตรงกับโปรแกรม โอกาสที่จะเข้าได้ก็มีเหมือนกัน

2. การเข้าเรียนต่อปริญญาโทปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยดังๆ คือ การเรียนเนื้อหาวิชาให้ลึกซึ้งมากขึ้น – เรียนปริญญาโทเอก หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า graduate school มันไม่เหมือนกับการเรียนตอนปริญญาตรี ตอนปอตรี เราได้เริ่มเรียนเนื้อหาวิชาที่เราไม่เคยรู้มาก่อน เน้นว่าเอาเนื้อหา แต่graduate school เน้นฝึกทักษะมากกว่าเนื้อหา ทักษะอะไรบ้าง ก็เช่น ทักษะการค้นหาข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การตั้งปัญหางานวิจัย การใช้สถิติวิเคราะห์ข้อมูล การเก็บข้อมูลจากตัวอย่าง การออกแบบงานวิจัย เป็นต้น ส่วนเนื้อหาน่ะ โดยมากเขาจะassumeว่า นักเรียนต้องรู้อยู่แล้วหรือไม่ก็ไปค้นคว้าหาเอาเอง graduate school ไม่ใช่การไปนั่งฟังเลคเชอร์เหมือนตอนเรียนปริญญาตรีนะ

3. คนที่เก่งจะสมัครเข้าเรียนgraduate schoolที่มหาวิทยาลัยดังๆที่ไหนก็ได้หมด – อีกอย่างหนึ่งที่graduate admission ต่างจากundergraduate ก็คือว่า การที่โปรแกรมจะรับหรือไม่รับใคร มักจะขึ้นกับอาจารย์แต่ละคนด้วย เพราะว่าอะไร? เพราะว่าในปริญญาโทและเอก อาจารย์ต้องเป็นคนดูแลนักศึกษา ซึ่งใช้เวลาเป็นอย่างมาก อาจารย์จะรับนักศึกษาที่มาช่วยงานเขาได้ และช่วยให้อาชีพการงานของเขาดีขึ้น หมายความว่ายังไง? หมายความว่า ถ้านักศึกษามีความสามารถและทำงานในหัวข้อเดียวกับอาจารย์ อาจารย์ก็จะได้โชว์ว่านักศึกษาคนนี้ ฉันเป็นคนปั้นมาเอง และอาจารย์ก็ได้นักศึกษามาช่วยทำงานวิจัยอีกด้วย ส่วนนักศึกษาก็ได้โอกาสในการมาฝึกงานช่วยอาจารย์ทำวิจัย และก็ยังได้คำแนะนำจากอาจารย์อีกด้วย คือ win/win ฉะนั้นมันไม่ใช่แค่ว่าคนไหนเก่งแล้วเขาก็จะรับหมดนะ มันอยู่ที่ว่าความรู้ความสามารถของนักศึกษาคนนี้ ตรงกับที่โปรแกรมต้องการในปีนั้นๆหรือไม่
รู้อย่างนี้ดียังไง? แปลว่า เราไม่จำเป็นต้องมีประวัติหรูหรามาก เราก็สามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยดังๆได้ ถ้าเรารู้จักจุดแข็งของตัวเอง แล้วหาโปรแกรมที่เหมาะสมกับเรามากที่สุด

4. ต้องหาคนดังๆมาเขียนletter of recommendationให้ – จริงอยู่ที่ถ้าเราเคยทำงานกับคนที่มีชื่อเสียงในวงการ หรือศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยนั้นแล้วเขาเขียนจดหมายให้ มันก็จะทำให้โอกาสเราเข้าได้เยอะขึ้น แต่ว่า ถ้าเราไม่เคยทำงานกับคนคนนั้นเลย แล้วไปให้เขาเขียนจดหมายให้ มันไม่ได้ช่วยอะไรนะ เพราะเขาจะเขียนได้แค่กว้างๆ และคนอ่านเขาก็รู้ว่าเขาเขียนไปงั้นๆหรือว่าเขียนจากประสบการณ์จริง ที่ดีที่สุดคือหาคนที่เราเคยทำงานด้วย แล้วเขาประทับใจในงานของเรา เพราะเขาจะเขียนได้ละเอียดกว่า และคนอ่านก็จะอ่านรู้ว่าเขียนมาจากประสบการณ์จริงๆ คนที่เราขอให้เขียนจดหมายให้เรา เขาอาจจะไม่เคยเขียนจดหมายแบบนี้มากนัก แต่เราสามารถช่วยให้เขาเขียนจดหมายให้ดีได้ (โดยไม่ต้องให้โกหกหรือโม้)

More To Explore