ถ้าใครที่กำลังจะสอบTOEFL แล้วต้องการเตรียมตัวดีๆล่ะก็ ขอแนะนำเล่มนี้ก่อนเลยค่ะ อย่าเพิ่งไปอ่านเล่มอื่น
The Official Guide to the TOEFL iBT By Educational Testing Service (ETS)
ทำไมต้องอ่านเล่มนี้?
เพราะว่าเล่มนี้เป็นหนังสือที่คนออกข้อสอบ ซึ่งก็คือ ETS เป็นคนทำเอง ฉะนั้นเขาก็จะรู้ดีที่สุดว่า หลักเกณฑ์ในการให้คะแนนของเขาเป็นอย่างไร โดยจะแบ่งเป็นส่วน reading, listening, speaking, writing ที่ม่อนเห็นว่าเล่มนี้เป็นประโยชน์กว่าเล่มอื่นๆมากก็เพราะว่า ของสำนักพิมพ์อื่น เขาก็พยายามตั้งคำถามให้คล้ายๆกับETS แต่ก็คงไม่มีใครเหมือนของ ETSที่เป็นคนออกข้อสอบเองได้ บางสำนักพิมพ์ก็ให้คำแนะนำที่อาจจะไม่ตรงกับการให้คะแนนของETSสักเท่าไหร่ ม่อนเคยดูเปรียบเทียบของหลายๆสำนักพิมพ์แล้ว พบว่าถ้าจะให้ดีอ่านแต่คำแนะนำของETSจะดีที่สุด เพราะเขาจะบอกชัดเลยว่าเขาต้องการอะไร ให้เราตอบอย่างไร
ยกตัวอย่าง เช่น speaking part ที่คนไทยมักจะกลัวกันมาก ซึ่งตอนม่อนสอบเองม่อนก็ตื่นเต้นเหมือนกัน เพราะเขาจะพูดโจทย์มาแล้วให้เวลาเราคิดสัก15-30วินาที แล้วก็ให้เราตอบ 30-45วินาที ซึ่งจะเป็นการอัดเสียง เพื่อให้คนตรวจเอาไปฟังอีกที่ ซึ่งจะต่างจากIELTS ที่สอบspeakingกับคนจริงๆ ซึ่งจะง่ายกว่า เพราะเราสามารถให้non-verbal language (ท่าทาง สีหน้า การขยับริมฝีปาก) ช่วยได้ ซึ่งในหนังสือของETSก็จะบอกชัดเลยว่าเราควรจะตอบอย่าง ควรจะทวนคำถามนิดนึง แล้วค่อยตอบไป เป็นต้น แล้วเขาก็จะมีตัวอย่างของคนที่พูดแล้วได้คะแนนดีมาให้เราฟังด้วย เราก็จะเห็นว่าคนที่ได้คะแนนเต็มไม่จำเป็นต้องสำเนียงดี หรือพูดถูกทุกคำ ไม่ตะกุกตะกัก เพราะเขาถือว่านี่เป็นการวัดความสามารถในการสื่อสาร อาจจะต้องมีติดขัดบ้าง หยุดคิดบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา หรือสำเนียงอาจจะไม่เหมือนฝรั่ง ก็เป็นปกติของคนที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศอยู่แล้ว (เขาถึงได้เรียกว่า Test of English as a Foreign Language: TOEFL ฉะนั้นพูดได้ไม่เหมือนฝรั่งก็ไม่ผิดหรอกค่ะ) ในหนังสือก็ยังบอกguidelineด้วยว่า ควรจะบริหารเวลาในการตอบอย่างไร เช่น ควรจะตอบให้พอดีๆกับเวลาที่ให้มา ถ้าเวลาเหลือมากก็จะโดนหักคะแนน เป็นต้น ซึ่งเรื่องพวกนี้ เราก็ต้องเชื่อ ETS เพราะเขาเป็นคนออกข้อสอบเอง
แล้วข้อเสียของหนังสือเล่มนี้คืออะไร?
หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเตรียมสอบจริงๆ คือ ไม่ได้มีส่วนไหนที่ช่วยด้านการฝึกภาษาอังกฤษเลย ถือว่าเป็นหนังสือที่ช่วยให้ผู้ที่เตรียมสอบTOEFLได้รู้จักว่าวิธีการสอบเป็นอย่างไร ข้อสอบเป็นแบบไหน หน้าตาจอคอมพิวเตอร์ที่จะให้สอบเป็นอย่างไร เรียกได้ว่าเป็นการทำให้เราคุ้นเคยกับformatของการสอบไว้ก่อนวันจริง ซึ่งอย่าคิดว่าไม่สำคัญนะคะ เวลาคนเราเจออะไรที่คาดไม่ถึง จิตใจจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทำอะไรไม่ถูก เสียคะแนนกันไปง่ายๆเลยทีเดียว
สรุป
ความคิดเห็นของม่อนคือ ควรจะเอาหนังสือเล่มนี้มาอ่านดูก่อน เพื่อจะได้รู้ว่าformatของการสอบเป็นแบบไหน (แต่อาจจะยังไม่ต้องทำauthentic practice testก็ได้ เก็บเอาไว้ทำตอนใกล้ๆสอบดีกว่า) พอรู้แล้วว่าformatของTOEFL เป็นอย่างไร ก็ค่อยลองไปดูว่าตัวเองยังต้องปรับปรุงเรื่องไหน ก็ไปหาหนังสืออื่นมาอ่านเพิ่มเติมฝึกฝนต่างหากค่ะ ถ้าใครที่ภาษาอังกฤษดีอยู่แล้ว ไม่ต้องฝึกแล้ว ม่อนก็ยังแนะนำให้ไปหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านอยู่ดีค่ะ (จะซื้อหรือยืมเพื่อนก็ตามแต่) เพราะว่าม่อนเห็นหลายคนแล้วที่ภาษาอังกฤษดีอยู่แล้ว ก็ไปสอบเลยโดยไม่ได้เตรียมตัว เลยทำให้แทนที่จะได้คะแนนดีสุดยอด กลายเป็นคะแนนดีเฉยๆ เพราะถ้าใครก็ตามที่ยังไม่คุ้นกับformatของTOEFL iBT วันสอบก็อาจจะตกใจ สมาธิเสียได้ อย่างน้อยก็ควรลองทำ authentic practice test ก่อนวันสอบจริงค่ะ
*หมายเหตุ ม่อนไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับยอดขายของ ETS นะคะ แต่อยากแนะนำไว้ เพื่อให้คนไทยไปสอบได้คะแนนกันเยอะๆ ไม่ต้องไปเสียเงินให้ETSเพื่อสอบรอบสองรอบสามค่ะ