ไม่ว่าจะเป็นการเรียนอะไรก็ตาม ความเชื่อทั้งเกี่ยวกับการเรียนและเกี่ยวกับตัวเอง ล้วนมีผลต่อความสำเร็จ วันนี้เราจะมาทำความรู้จักconceptเกี่ยวกับความเชื่ออย่างหนึ่งที่จะช่วยให้เราเข้าใจและพัฒนาการเรียนภาษาอังกฤษได้อย่างมาก คือ Mindset ค่ะ
Mindset คือ ความเชื่อเกี่ยวกับความฉลาดหรือความสามารถ มีสองแบบด้วยกัน
1. Fixed หรือ Stable mindset
2. Growth mindset
Fixed mindset มองว่าความฉลาดเป็นสิ่งที่ fixed คือ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ประมาณว่าใครเกิดมาเก่งก็คือเก่ง ใครไม่เก่งก็ไม่เก่ง ไม่สามารถเปลี่ยนได้
Growth mindset มองว่าความฉลาดนั้นมาจากการพัฒนา คือ ไม่ว่าใครก็สามารถเก่งได้ ไม่จำเป็นว่าต้องเกิดมาเก่งด้านนั้นๆโดยเฉพาะ
มองเผินๆเราอาจจะไม่เห็นว่า fixed mindset จะไม่ดีตรงไหนใช่ไหมคะ คือ ถ้าเราเชื่อว่าเราเก่ง ถึงแม้ว่าเราจะเชื่อว่าความเก่งพัฒนาไม่ได้ ก็ไม่เห็นจะเป็นไร ก็เราเชื่อว่าเราเก่งแล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหา แต่จริงๆมีข้อเสียอย่างมากเลยค่ะ
เรารู้กันอยู่แล้วว่าคนเราจะเก่งในด้านอะไรก็ตามนั้นต้องมีการฝึกฝนพัฒนา คนที่จะเก่งได้จริงๆต้องมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ต้อง stretch beyond current capabilities คือ พยายามทำในสิ่งที่ตอนนี้ยังทำไม่ได้ พยายามทำในสิ่งที่ยังไม่เคยทำ และการพยายามทำในสิ่งที่ตอนนี้ยังทำไม่ได้นั้น มันก็เป็นธรรมดาที่เราจะผิดพลาด ล้มเหลวบ้างใช่ไหมคะ ไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหน เก่งแค่ไหน ถ้าพยายามเรียนสิ่งที่ไม่เคยเรียนมาก่อน ก็ย่อมต้องมีผิดพลาดบ้างเป็นธรรมดา
ความเชื่อที่ว่าความฉลาดเปลี่ยนแปลงไม่ได้จะทำให้เราไม่กล้าเสี่ยงทำอะไรที่เราคิดว่าเราจะล้มเหลว เพราะว่าอะไร? เพราะว่าถ้าเราเชื่อว่าความฉลาดเปลี่ยนแปลงไม่ได้ พอเราไปทำอะไรแล้วเกิดล้มเหลวขึ้นมา ก็แปลว่าเราโง่ เราไม่ฉลาดใช่ไหมคะ ซึ่งเป็นสิ่งที่egoเรายอมไม่ได้อยู่แล้ว ฉะนั้นมันจะปลอดภัยว่า safeกว่าถ้าเราเลือกที่จะไม่ทำสิ่งนั้นๆเลย ประมาณว่า ก็เราไม่แน่ใจว่าเราจะทำได้ไหม ก็เลือกที่จะไม่ทำดีกว่า จะได้ไม่ล้มเหลว
แต่เราก็เห็นใช่ไหมคะว่าการเลือกที่จะไม่เสี่ยงเลยก็ทำให้เราไม่พัฒนา เราก็ไม่มีทางเก่งภาษาอังกฤษสักที
ในทางกลับกัน ถ้าเรามี growth mindset คือ เราเชื่อว่าความล้มเหลวไม่ใช่แค่สิ่งที่ธรรมดา แต่เป็นสิ่งทีจำเป็นต่อความสำเร็จ เราก็จะไม่กลัวที่จะเสี่ยง เมื่อเราเชื่อว่าความฉลาดเกิดจากการพัฒนา เราก็ไม่อายเวลาที่เราล้มเหลวหรือผิดพลาด เพราะว่ามันแค่แปลว่าเรายังไม่ได้ฝึกให้เพียงพอเท่านั้นเอง พอเราเชื่อแบบนี้ก็จะทำให้เรากล้าเรียนสิ่งที่เรายังไม่เก่ง ซึ่งจะส่งผลให้เราพัฒนาภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น
ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่า ถ้าเรามี fixed mindset ว่าเราไม่เก่งภาษาอังกฤษ เราก็จะไม่อยากฝึกเพราะเราเชื่อว่าความฉลาดด้านนี้มันพัฒนาไม่ได้อยู่แล้ว
และถึงแม้ว่าเราจะมี fixed mindset ว่าภาษาอังกฤษเราเก่ง มันก็ยังมีผลเสียที่ว่า เราจะไม่กล้าใช้ภาษาอังกฤษในระดับที่ยากขึ้น ก็จะทำให้ภาษาอังกฤษเราติดอยู่ที่ระดับนั้น ไม่พัฒนาไปไหนสักที
สรุปความแตกต่างระหว่า Fixed and Growth mindsets
แปลจาก infographic โดย Nigel Holmes
ครูม่อนจะเล่าประสบการณ์ของตัวเองเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนยังไม่ได้เรียนเรื่อง mindsetนั้น ตอนประมาณเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง ครูม่อนมี fixed mindset เรื่อง writing ในช่วงนั้นถึงจะสอบภาษาอังกฤษได้คะแนนดี พูดภาษาอังกฤษได้ แต่ก็ไม่เคยเรียนwriting จริงๆจังๆ รู้สึกว่าตัวเองเขียนภาษาอังกฤษได้ไม่ดี ตอนสอบTOEFL ก็พยายามฝึกเขียนมากๆ แต่คะแนนก็ยังด้อยกว่าด้านอื่น ยิ่งตอนไปเรียนที่ฮาร์วาร์ด ยิ่งรู้สึกว่าเราเขียนไม่เก่ง มีหลายครั้งที่พยายามจะเขียนอธิบายแต่ก็ไม่รู้จะเขียนยังไง สิ่งที่เขียนออกมาเราก็ไม่พอใจ รู้สึกว่ามันไม่ได้สื่อความหมายตามที่เราอยากจะสื่อ แล้วก็โดนติโดนแนะนำให้เปลี่ยนนู่นเปลี่ยนนี่ รู้สึกว่าตัวเองโง่มากๆเลย ตอนนั้นเชื่อจริงๆว่าที่จบมาได้ก็เพราะความสามารถด้านอื่น ไม่ใช่เพราะเขียนเก่ง คือเชื่อว่าเราเขียนพอใช้งานได้ แต่ไม่ได้ดีเลิศอะไร
ตอนเรียนปริญญาเอก ปีสาม จำได้แม่นเลย คือ ครูม่อนต้องเขียนqualifying paper คือ เขียนบทความวิชาการ ถ้าอันนี้ไม่ผ่านก็คือไม่ได้เรียนต่อปริญญาเอก (จบแค่ปริญญาโท) ตอนนั้นเครียดมาก เพราะต้องอ่านวิจัยเยอะมากๆ เนื้อหาก็ยาก เราส่งร่างให้อาจารย์อ่าน อาจารย์บอกว่าเธอต้องแก้ภาษาอังกฤษอีกเยอะมากเลยนะ ไม่งั้นไม่ผ่านหรอก ครูม่อนกลับบ้านไปร้องไห้เลย คือ มันจี้ใจเรานะ เราก็เชื่ออยู่แล้วว่าwriting เราไม่ดี และเราก็ไม่คิดว่าจะฝึกให้มันดีกว่านี้ได้แล้ว ครูม่อนก็กะว่าต้องไม่ผ่านแน่ๆเลย แต่ก็พยายามผลักดันตัวเองจนผ่านมาได้ แต่ก็ยังไม่เชื่อว่าจะพัฒนา writingของตัวเองได้นะคะ ยังเป็น fixed mindset อยู่
สิ่งที่เปลี่ยนmindset ตัวเองได้คือการเขียนวิทยานิพนธ์ ได้เรียนรู้สิ่งสำคัญเกี่ยวกับการเขียน คือ รุ่นพี่หลายๆคนบอกว่าร่างแรกๆของเขาก็แย่เหมือนกัน แม้แต่อาจารย์ก็ยังต้องแก้งานเขียนหลายๆรอบ โชคดีที่UCLA ในโปรแกรมที่เรียนอยู่ จะมีคาบที่ให้นักเรียนและอาจารย์นำงานเขียนที่กำลังเขียนอยู่ in progress มาโชว์เพื่อจะได้คำแนะนำไปแก้ไข ทำให้ครูม่อนได้เห็นว่า งานเขียนที่เราเห็นตอนเสร็จแล้วนิ มันต่างกันมากเลยกับตอนที่ร่างครั้งแรกๆ เราได้เห็นพัฒนาการของรุ่นน้อง รุ่นพี่ และได้เห็นพัฒนาการของตัวเอง ก็ทำให้เช่ือว่า writing เป็นสิ่งที่พัฒนาได้ ไม่ว่าคนที่เขียนเก่งๆเค้าเกิดมาแล้วเขียนเก่งเลย ตอนนี้เชื่อจริงๆว่าwriting นั้นพัฒนาได้ แค่ใช้เวลาฝึกฝนเรียนรู้