
เรียนภาษาตอนโตก็ใช่ว่าจะเก่งไม่ได้
เรามักจะคิดว่าเราเรียนเท่าไหร่ก็จำไม่ได้ซะที แต่จริงๆแล้วเราลืมไปว่าเด็กๆต้องเรียนกันมากแค่ไหนกว่าจะจำได้ ตอนเรียนภาษาจีน ครูม่อนรู้สึกว่าจำตัวอักษรไม่ได้ซะที รู้สึกแย่มากๆ ลองถามเพื่อนๆคนจีนว่าตอนเด็กๆเขาเรียนกันยังไง จะได้ทำบ้าง เขาบอกว่าตอนประถม ตั้งแต่ปอหนึ่งถึงปอหกต้องเขียนตัวอักษรตลอด ทุกปีต้องจำให้ได้อย่างน้อยสองสามร้อยตัว จริงอยู่ที่เด็กจีน ได้เปรียบเพราะว่าเขาพูดได้แล้ว แค่เชื่อมโยงตัวอักษรกับเสียงและความหมาย แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่ต้องพยายามเลย อย่างภาษาอังกฤษ เวลาครูม่อนถามเพื่อนที่ไม่ได้เรียนปริญญาโทปริญญาเอก เรื่องแกรมมา หรือวิธีการเขียน หลายๆครั้งเพื่อนๆก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน เพราะเรื่องที่ยากขึ้น เขาเองก็ต้องใช้เวลาในการเรียนเรื่องพวกนี้เหมือนกัน ถึงแม้จะเป็นภาษาแม่ก็ตาม (ลองคิดดูว่า ถ้ามีคนมาถามเรื่องการใช้ราชาศัพท์ เราก็อาจจะตอบไม่ได้มาก

นิสัย 3 อย่างที่ทำให้เก่งภาษา
ช่างสังเกต ไม่ว่าจะไปเที่ยวหรืออยู่เมืองไทย ถ้าเราช่างสังเกต เราจะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆเยอะเลย แถมยังสนุกด้วย สังเกตป้ายตามถนน ป้ายโฆษณา มีภาษาให้เราเรียนเยอะแยะไปหมด ไม่ต้องตั้งใจเรียนก็ยังได้ความรู้ค่ะ ช่างสงส้ย สังเกตแล้วก็ต้องสงสัยด้วย เวลาไปเจอคำที่ไม่รู้จัก ก็สงสัยว่าแปลว่าอะไร แหงล่ะ ขี้เกียจเปิดดิก ณ เวลานั้นๆใช่ไหมคะ ลองเดาดูสิิ จากรากศัพท์ จากคำภาษาไทยข้างๆ จากบริบท แล้วค่อยไปหาความหมายทีหลังอีกที แบบนี้ยิ่งจำแม่นเพราะเราเก็บความสงสัยไว้ในใจนาน ได้คิด

คนเราเกิดมาฟังออกทุกภาษาอยู่แล้ว
ก็คงรู้ๆกันอยู่แล้วเนอะว่าถ้าเรียนภาษาตั้งแต่อายุน้อยๆจะมีสำเนียงดีกว่า พูดชัดกว่า ฟังเข้าใจกว่า เมื่อก่อนครูม่อนคิดว่าเป็นเพราะเด็กๆเรียนง่าย อยู่กับภาษาเรื่อยๆก็ซึมซับไปเรื่อยๆจนความรู้ความสามารถเต็มสมอง แต่จริงๆแล้วงานวิจัยพบว่า ตั้งแต่เกิดมาเลย ทุกคนก็มีความสามารถในการแยกเสียงได้ทุกๆเสียง ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ภาษาที่เคยได้ยินมาเลยก็ตาม แต่ว่าความสามารถนี้จะลดลงไปเรื่อยๆ จนเมื่ออายุประมาณสิบเดือนถึงหนึ่งปีก็จะหายไปเกือบหมด คงเหลือแต่ความสามารถในการแยกเสียงของภาษาที่เป็นสิ่งแวดล้อมของเด็กคนนั้น การทดลองนี้คือให้เด็กอายุต่างๆกันตั้งแต่สองเดือนถึงหนึ่งปี มาลองฟังเสียงที่ไม่ใช่ภาษาของตัวเอง แล้วก็บันทึกว่าเด็กสามารถแยกได้มากน้อยแค่ไหน (ส่วนจะว่าวัดว่าเด็กแยกได้ยังไง ขอไม่อธิบายแล้วกันนะคะ เดี๋ยวจะสับสนกัน ถ้าอยากรู้ไปอ่านบทความต้นฉบับได้คะ) ผลก็อย่างที่ว่าแหละคะ กลายเป็นว่า ไม่ใช่ว่าเด็กเป็นผ้าขาวว่างๆ แล้วเอาภาษาไปเติม แต่เด็กเกิดมาด้วยความสามารถอยู่แล้ว แต่มีการเปลี่ยนแปลงให้เหมาะกับสิ่งแวดล้อม

จะเก่งอังกฤษ ต้องเพิ่มเวลาที่เราได้เจอกับภาษาอังกฤษให้มากขึ้น
การจะเรียนภาษาให้เก่งขึ้นอยู่กับว่าเราใช้เวลากับมันมากแค่ไหน เวลาในที่นี้ไม่ได้มีแค่เวลาที่เรียนในห้องเรียน แต่รวมถึงเวลาตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงของเราเลยค่ะ สำหรับคนที่อยากเรียนภาษา ถึงแม้ว่าจะอยู่นอกห้องเรียนแล้ว ก็ยังอ่านหนังสือภาษานั้นเพิ่ม ฟังเพลงดูหนังภาษานั้น คิดเป็นภาษานั้น หรือแม้แต่ฝันเป็นภาษานั้น ถ้าเทียบกับคนที่ใช้เฉพาะเวลาในห้องเรียนexposeกับภาษานั้น ความก้าวหน้าของภาษาก็ต้องต่างกันอย่างไม่ต้องสงสัยเลยค่ะ ฉะนั้นหลักใหญ่ที่เราจะทำให้เก่งภาษาได้ คือเราต้องเพิ่มเวลาที่เราจะเจอจะใช้ภาษานั้นให้มากขึ้น ใช้หัวคิดสร้างสรรค์หาวิธีที่เหมาะกับตัวเอง ทำให้ตัวเองเจอภาษานั้นๆอย่างสนุกสนาน ทำให้สิ่งแวดล้อมรอบๆตัวเป็นภาษาที่เราจะเรียนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วเราจะเก่งภาษานั้นเร็วอย่างที่ตัวเองก็คาดไม่ถึงเลยค่ะ “You learn something every day if you pay

ต้องไปเรียนเมืองนอก ถึงจะเก่งภาษาอังกฤษได้ จริงหรือ?
เมืองนอกในที่นี้ แน่นอนว่าต้องหมายถึงประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก (ไปเรียนที่จีนก็คงไม่ได้ภาษาอังกฤษหรอกใช่ไหมคะ) อันนี้ครูม่อนเอาประสบการณ์ตัวเองยืนยันได้ว่าไม่จริงค่ะ กลับกันว่า เก่งภาษาอังกฤษทำให้ได้ไปเมืองนอกซะมากกว่า ตั้งแต่เด็กจนถึงมัธยม ครูม่อนเรียนโรงเรียนไทยตลอด เรียนภาษาอังกฤษก็เรียนกับครูไทย ไม่เคยเจอครูฝรั่งเลย แต่พอภาษาค่อนข้างดี เลยสอบติดได้ไป AFS ซึ่งก็ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษอีก ตอนเรียนปริญญาตรีก็เรียนที่จุฬา กว่าจะได้ไปเรียนประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษก็ตอนเรียนปริญญาโทที่ฮาร์วาร์ดนู่นน่ะ ซึ่งถ้าครูม่อนภาษาอังกฤษไม่ดีก็คงจะไม่ได้ไปเรียน ครูม่อนเลยเชื่อมั่นค่ะว่า ไม่จำเป็นต้องไปเรียนเมืองนอกก็เก่งภาษาอังกฤษได้ แต่ก็ต้องยอมรับนะคะว่าถ้ามีโอกาสได้ไปเรียนเมืองนอก จะทำให้ภาษาอังกฤษพัฒนาได้เร็ว ถ้ามีโอกาสไปก็ย่อมดี แต่ถ้าไม่มี ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรค่ะ
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเรียนภาษาอังกฤษให้ประสบความสำเร็จคือความเชื่อมั่นว่าตัวเองสามารถพัฒนาภาษาอังกฤษได้
ครูม่อนได้แนะนำการพัฒนาภาษาอังกฤษให้ใครหลายๆคน ครูม่อนสังเกตเห็นว่าคนที่จะประสบความสำเร็จในการพัฒนาภาษาอังกฤษได้ ก็คือ คนที่เชื่อว่าตัวเองสามารถประสบความสำเร็จได้ ถ้าคนที่เชื่อว่าตัวเองสามารถพัฒนาภาษาอังกฤษของตัวเองได้ ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน ไม่ช้าก็เร็วภาษาก็ดีขึ้นอย่างแน่นอน แต่สำหรับคนที่ในใจยังไม่เชื่อ ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน ก็ดูจะยากไปซะหมด You have to believe you can do it!