
วิธีเพิ่มความมั่นใจ เขียนภาษาอังกฤษ (English Writing)
Writing with Confidence ทำอย่างไรให้กล้า เขียนภาษาอังกฤษ สาเหตุที่หลายๆคนกลัว การเขียนหรือ Writing ก็คือ “กลัว” การเขียนผิด มีใครบ้างที่เวลาเขียน มีเสียงในหัวว่า “เขียนผิดอีกแล้ว ไม่ได้เรื่องเลย” “ประโยคนี้ถูกแกรมม่าไหม” “เขียนตั้งนานได้ไม่กี่บรรทัดเอง แล้วเมื่อไหร่จะเสร็จ” พอมีเสียงในหัวแบบนี้ แล้วทำให้เขียนตะกุกตะกัก เขียนแล้วแก้ เขียนแล้วลบ เขียนแล้วไม่รู้ต้องแก้ตรงไหน เป็นชั่วโมงไม่ถึงไหนสักที เป็นอย่างนี้บ่อยๆเข้าก็หมดความมั่นใจ

เทคนิคง่ายๆที่ช่วยให้เราอ่านเร็วขึ้น
เทคนิคง่ายๆที่ช่วยให้เราประหยัดเวลาอ่าน reading ใครที่เรียนมหาวิทยาลัยอยู่ ไม่ว่าจะในไทยหรือต่างประเทศ ปริญญาตรีหรือเอก ก็จะรู้ว่าจะมีอะไรที่ต้องอ่านเยอะมาก ทั้งtextbooks ทั้งบทความ journal บางวิชาก็จะให้listมาเลยว่าแต่ละอาทิตย์ต้องอ่านอะไรบ้าง ครั้งแรกที่ครูม่อนไปเรียนที่อเมริกา ตอนนั้นเรียนปริญญาโทที่ฮาร์วาร์ด ช็อกมากว่าทำไมแต่ละอาทิตย์ต้องอ่านเยอะขนาดนั้น วิชาละ 100 กว่าหน้าอย่างต่ำ แล้วเราเรียน 4 วิชา! ตอนที่เรียนหมอ จุฬา ก็ต้องอ่านเยอะนะ แต่รู้สึกว่าไม่เหมือนกัน เพราะตอนเรียนหมอนั้นมันต้องจำหมดอยู่แล้วแถมยังอ่านภาษาไทย

อ่านอย่างไรถึงจะเขียนเก่ง?
ใครบ้างที่คิดว่าอ่านเยอะๆแล้วทำให้ภาษาดีขึ้น ทำให้เขียนได้เก่งขึ้น? ครูม่อนคิดว่าทุกๆคนก็คงรู้ และเชื่อแบบนี้ ซึ่งมันก็จริงค่ะ ไม่ว่าจะเรียนภาษาอะไร การใช้ภาษานั้นทำให้ภาษาดีขึ้นแน่นอน โดยเฉพาะเรื่องการเขียนนั้น แน่นอนว่าอย่างน้อยก็ต้องอ่านเป็นบ้าง ถึงจะเขียนดีขึ้น วันนี้ครูจะพูดถึงสองเรื่องด้วยกัน การอ่านนิยายเพื่อเรียนภาษาและพัฒนาการเขียน สิ่งที่ควรรู้ไว้สำหรับการปรับใช้ให้เข้ากับงานเขียนของเราเอง เรื่องแรก คือ อ่าน fiction (นิยาย) เพื่อเรียนภาษาและพัฒนาการเขียน เมื่อก่อนครูเป็นคนที่เลือกจะอ่านแต่ non-fiction (งานเขียนจากเรื่องจริง้ฟะ รวมถึงความรู้ต่างๆ) เท่านั้น ตอนนั้นช่วงเรียนที่จุฬา

จะตั้งเป้าหมายให้ดี ต้องมีทั้ง outcome และ action
เป้าหมายสามารถตั้งได้สองแบบด้วยกัน Outcome goals คือ ผลลัพธ์ที่อยากได้ Action goals คือ การกระทำของเรา ปกติแล้วเรามักจะตั้งเป้าหมายกันโดยเน้น outcome goals คือว่าอยากได้อะไร หลายๆคนคงจะเคยเรียนมาว่าให้ตั้งเป้าหมายแบบ SMART (specific, measurable, achievable, relevant, and time-based) เช่น สอบ TOEFL เดือนหน้าให้ได้

Law of diminishing returns in writing
Author: ดร.ณัฏฐ์ภัทร์ ชาญเชาวน์กุล (ครูม่อน) Editor: อธิกฤต ชาญเชาวน์กุล (โดม) Date: 26 กันยายน 2562 จากคราวที่แล้วที่โพสต์ไปว่า pitfall อันนึงที่เรามักจะเจอบ่อยคือ การแก้งานเขียนเยอะเกินไปคือคิดว่าต้องเพอร์เฟคก็เลยแก้แล้วแก้อีกซึ่งนอกจากจะทำให้เครียดแล้ว ยังทำให้ miss deadline ส่งงานไม่ทันอีกด้วย ปรากฏการณ์นี้คือ law of diminishing returns

สร้างความเป็นคนชอบเรียนภาษาอังกฤษ Build your English-learning identity
ถ้าอยากจะเก่งอังกฤษ ต้องสร้าง identity (ความเป็นตัวเรา) ว่าเราเป็นคนชอบเรียนภาษาอังกฤษ Identity เป็นคอนเซ็บที่ซับซ้อน แต่เอาง่ายๆในที่นี้ว่าหมายถึง ความเป็นตัวเรา นั่นเอง คนเราแต่ละคนมีidentityหลายอย่างหลายด้าน เช่น เป็นลูกที่ดี เป็นคนตรงเวลา เป็นคนชอบเที่ยว หรือแม้เป็นคนเกลียดเรียนภาษาอังกฤษ หรือเป็นคนชอบเรียนภาษาอังกฤษ แม้แต่ในเรื่องเรียนภาษาอังกฤษ เราก็ยังมีidentityละเอียดลงไปอีกได้ เช่น เป็นคนพูดอังกฤษเก่งแต่เขียนไม่เก่ง เป็นต้น คนที่จะเก่งภาษาอังกฤษมักจะมีidentityที่ชอบเรียนภาษาอังกฤษ identityจะเป็นตัวไกด์การกระทำ พอเราเชื่อว่าเราเป็นคนที่ชอบเรียนภาษาอังกฤษเราก็จะทำกิจกรรมที่เพิ่มทักษะภาษาอังกฤษโดยไม่รู้ตัว