คำว่า obsession (n) นั้นมักจะมีความหมายไปในทางลบ มักจะหมายถึงการหมกมุ่นเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเกินไป ทางการแพทย์มีโรค obsessive compulsive disorder หรือที่รู้จักกันว่า
ครูม่อนเคยเขียนเรื่องการตั้งเป้าหมายในการเรียนภาษาอังกฤษมาแล้ว [ตั้งเป้าหมายอย่างไรให้มีกำลังใจเรียนภาษาอังกฤษ] วันนี้มีอีกวิธีที่เราสามารถเอามาใช้ช่วยตั้งเป้าหมายได้ คือ social goal ซึ่งก็คือ ตั้งเรียนภาษาอังกฤษเพื่อการเข้าสังคม ซึ่งเป้าหมายแบบนี้ปกติคนเราก็ทำอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับภาษาอังกฤษก็ตาม
ทุกๆคนคงเคยได้ยินว่า “เรียนภาษาต้องเรียนตั้งแต่เด็ก” “เรียนภาษาตอนเด็กง่ายกว่าตอนโต” ถ้าเราโตแล้วเพิ่งมาเรียน ฟังดูแล้วท้อมากเลยนะคะ แต่ถ้าดูจากงานวิจัย มีแค่เรื่องเดียวเท่านั้นที่ต้องเรียนตอนเด็ก คือ pronunciation ถ้าเรียนpronunciationตอนโต
หลายๆคนคงเคยรู้สึกว่าเรียนภาษาอังกฤษมาก็นานแล้วทำไมยังไม่เก่งสักที ครูม่อนคิดว่า ทุกๆคนเคยมีความรู้สึกแบบนี้ ไม่ว่าตอนนี้จะเก่งหรือไม่เก่งยังไงก็ต้องมีท้อกันทุกคน วันนี้อยากจะเขียนเกี่ยวกับ Learning trajectory ซึ่งก็คือเส้นทางความก้าวหน้า(หรือถอยหลัง)ของการเรียน ในที่นี้เราก็จะหมายถึงเฉพาะการเรียนภาษาอังกฤษ การเรียนรู้ทุกๆอย่าง
ครูม่อนเชื่อมากๆว่าการอ่านช่วยให้เราเรียนภาษาอังกฤษได้ดี เพราะนอกจากจะได้เรียนภาษาอังกฤษแล้ว เรายังได้สนุกกับมันด้วย ถ้าอ่านหนังสือดีๆล่ะก็ เราไม่รู้สึกว่ากำลังเรียนภาษาอังกฤษอยู่เลย แต่เราสนุกไปกับเรื่องราวหรือเนื้อหาในหนังสือมากกว่า แต่ครูม่อนมีวิธีเพิ่มเติมที่ช่วยให้อ่านแล้วเรียนภาษาได้เร็วขึ้น วิธีนี้คือการอ่านซ้ำค่ะ อย่าเพิ่งคิดว่าน่าเบื่อนะคะ วิธีนี้คือให้เลือกหนังสือหรือบทความที่เราอ่านแล้วชอบมาอ่านซ้ำอีกรอบ
หลายๆคนที่เคยต้องเขียน essayส่งอาจารย์ คงจะรู้ว่ามันยากแค่ไหนนะคะ โดยเฉพาะถ้าเราต้องหาข้อมูลด้วยเขียนด้วย ตอนครูม่อนเรียนปอโทปอเอกที่อเมริกา ครูม่อนต้องเขียนessayเยอะมากๆ ทำให้รู้ว่าwriting processนั้นเป็นยังไง ซึ่งเป็นสิ่งที่ครูม่อนไม่เคยได้เรียนที่เมืองไทยเลย (เพราะว่าครูม่อนเรียนโปรแกรมไทยตลอด
คำศัพท์คำนึงสามารถมีความหมายได้หลายแบบ วันนี้เรามารู้จักความหมายแบบ literal (ตรงตัว) กับ figurative (เปรียบเทียบ) กันดีกว่าค่ะ Literal (adj.)